คำถามชวนคิด
ทำไม ? ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำระดับประเทศเกือบทั้งหมดจบนอก
ทำไม ? บริษัทข้ามชาติชื่อดังในไทย หรือแม้แต่บริษัทใหญ่ๆในไทยหลายแห่ง นิยมรับเด็กจบนอก
ทำไม ? ผู้ปกครองยุคใหม่จำนวนมากถึงยอมจ่ายค่าเทอม “หลักล้าน” ต่อปีให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนนานาชาติ เพียงเพราะอยากให้ลูกได้ไปต่อเมืองนอก
ทำไม ? นักศึกษาปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย เมื่อเรียนจบแล้ว ก็จะพยายามหาทางไปเรียนต่อป.โทเมืองนอกอยู่ดี
เรียน ม.ชื่อดัง “ในไทย”
ม.ชื่อดัง “ระดับโลก"
ทำไมต้องเรียนจบนอก ? 6 เหตุผล ที่ควรไปเรียนต่อต่างประเทศ
ทำไมต้องเรียนจบนอก ?
คำถามที่หลายคนสงสัยว่า “ทำไมต้องเรียนจบนอก ?” มีคำตอบที่น่าสนใจมากมาย โดยคำว่า “จบนอก” ในที่นี้จะหมายถึงประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา เพราะประเทศเหล่านี้เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย “ระดับโลก” ที่บริษัทใหญ่ ๆ ทั่วโลกต่างรู้จักและยอมรับ ไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่ “แค่” ดังในประเทศ แล้วพอก้าวเท้าออกไปนอกประเทศก็ไม่มีใครรู้จักแล้ว
แต่นอกจากเหตุผลทางด้านชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยแล้ว ยังมีเหตุผลหลัก ๆ อีก 6 ข้อ ว่าทำไมการไปเรียนต่อต่างประเทศถึงมีความสำคัญ
1. ได้เพื่อนต่างชาติ และคอนเนกชั่นระดับอินเตอร์
การได้ไปศึกษาต่อในต่างประเทศจะได้เจอกับเพื่อนจากหลากหลายเชื้อชาติ หลายประเทศ ทำให้ได้เรียนรู้และเข้าใจวัฒนธรรมและความแตกต่างระหว่างชนชาติ จึงเป็นหนึ่งข้อได้เปรียบสำหรับการทำงานเพราะสามารถทำงานร่วมกับชาวต่างชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพและพร้อมทันทีแบบไม่ต้องปรับตัว รวมถึงได้คอนเนกชั่นจากเพื่อนต่างชาติซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการทำงานในอนาคตอีกด้วย และนอกจากนี้ เพื่อนคนไทยด้วยกันที่ได้เจอตอนไปเรียนต่างประเทศถ้าไม่เรียนเก่งได้ทุน ก็ต้องมาจากครอบครัวค่อนข้างมีฐานะ หรือทั้งเก่งและรวยก็มีเยอะ เป็นโอกาสในการสร้างเครือข่ายและคอนเนกชั่นได้อย่างดี
2. สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี
การเรียนต่อในต่างประเทศจะช่วยพัฒนาความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ ทั้งความกล้าแสดงออก กล้านำเสนอ การวิเคราะห์ ทั้งยังช่วยฝึกให้สามารถพูดคุยด้วยภาษาอังกฤษในระดับวิชาการได้อย่างไม่มีปัญหา
3. เรียนในระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก
ประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ล้วนเป็นผู้ริเริ่มในด้านวิชาการงานวิจัยต่าง ๆ และเป็นต้นแบบทางการศึกษาให้อีกหลายประเทศทั่วโลก ดังนั้น การไปเรียนต่อยังประเทศเหล่านี้ จึงเป็นการได้เรียนรู้จากประเทศผู้คิดค้นวิชาเหล่านั้นโดยตรง อีกทั้งตำราเรียนในมหาวิทยาลัยไทย ก็ล้วนแต่แปลมาจากตำราต่างประเทศทั้งสิ้น
โดยเฉพาะประเทศอังกฤษที่ขึ้นชื่อว่ามีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก เป็นต้นแบบของการศึกษาในออสเตรเลีย สิงคโปร์ โดยมีมหาวิทยาลัย 4 แห่งในอังกฤษติดอันดับ 1 ใน 10 สถาบันการศึกษาที่ดีที่สุดในโลกและ 18 มหาวิทยาลัยติดอันดับ Top 100 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกอีกด้วย ระบบการศึกษาของอังกฤษจะเน้นเรื่องการสร้างคนให้กล้าคิด วิเคราะห์และโต้แย้งแบบมีเหตุผล และรู้จักพัฒนาต่อยอดความคิดได้อีกด้วย
4. บรรยากาศการเรียนที่มุ่งเน้นคุณภาพ
โดยปกติแล้วเพื่อนร่วมชั้นเรียนในประเทศเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องเรียนต่อในระดับปริญญา เนื่องจากคนที่จบระดับมัธยมปลายแล้วสามารถทำงาน หรือเรียนแค่ Diploma ก็ทำงานได้แล้ว ซึ่งหมายความว่า เพื่อนร่วมชั้นที่เราได้เจอในระดับปริญญา คือคนที่ตั้งใจมาเรียนจริง ๆ เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ นี่จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เห็นการเรียนแบบจริงจัง การเรียนแบบที่ทุกคนมีการแสดงความเห็น ยิงคำถามโต้ตอบกับอาจารย์แบบจริงจัง เน้นการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำและการคิดเชิงวิพากษ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนหล่อหลอมให้นักเรียนนอกกลายเป็นคนที่กล้าคิด วิเคราะห์ กล้าแสดงออกโดยใช้เหตุผล
5. พัฒนาทักษะการใช้ชีวิต
การเรียนในต่างประเทศเป็นการพัฒนาทักษะการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง เพราะต้องดูแลตัวเอง วางแผนชีวิต และรับผิดชอบทั้งเรื่องเรียนและการใช้ชีวิตประจำวัน โดยไม่มีใครมาควบคุม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของตัวเอง ซึ่งเป็นการช่วยสร้างวินัยและความรับผิดชอบไปพร้อมกัน
6. ได้วิสัยทัศน์ระดับโลก
การได้ไปอยู่ในประเทศที่เจริญแล้ว ทำให้เราเหมือนได้ไปอยู่ในโลกอนาคต ได้เปิดมุมมองที่กว้างขึ้น เห็นสินค้าและบริการที่มีความทันสมัย ช่วยให้สามารถมองเห็นทิศทางและโอกาสว่าประเทศไทยยังขาดอะไร หรือต้องการอะไร และนำกลับมาพัฒนาเป็นสินค้าและบริการ เพื่อต่อยอดในประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น
สถาบัน Finn เปิดเส้ทางการเรียนปริญญาตรีกับมหาวิทยาลัยระดับโลก ที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ แม้ไม่ได้จบมัธยมจากโรงเรียนนานาชาติ
ในอดีตนั้น การไปเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่ประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย หรือสวิตเซอร์แลนด์ มักถูกมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวและมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก อีกทั้งผู้ที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับโลกได้ ส่วนใหญ่ต้องผ่านการเรียนในระบบนานาชาติที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น หลักสูตร A-Level ระบบอังกฤษ หรือ International Baccalaureate (IB) มาก่อน เพื่อเตรียมความพร้อมในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังเหล่านั้น
แต่ในวันนี้ ทางสถาบัน Finn ได้นำเส้นทางสู่หลักสูตรปริญญาตรีโดยตรงจากคณะกรรมการการศึกษาของรัฐบาลอังกฤษ (UK Awarding body) มาใช้ เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนที่ไม่ได้เรียนมัธยมในระบบนานาชาติ สามารถคว้าโอกาสในการจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชื่อเสียงระดับโลกได้ โดยเรียน Diploma 2 ปีแรกในไทย และอีก 1 ปีสุดท้าย ณ มหาวิทยาลัยรัฐชั้นนำ ในประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย หรือสวิตเซอร์แลนด์ ที่การันตีการเข้าเรียนต่อ 100% กว่า 25 มหาวิทยาลัย พร้อมรับ “วุฒิปริญญาตรี” โดยตรงจากมหาวิทยาลัยที่เลือกเรียนในปีสุดท้าย ซึ่งเป็นวุฒิเดียวกับนักศึกษาที่เรียนที่นั่นตั้งแต่ปีแรกทุกประการ ทั้งนี้ ทุกมหาวิทยาลัยได้รับการรับรองคุณวุฒิและวิทยฐานะจากรัฐบาลอังกฤษและสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ประเทศไทย
โอกาสดีสุดๆสำหรับนักเรียนที่จบ ป.ตรี
สำหรับใครที่สนใจและอยากก้าวสู่การศึกษาระดับนานาชาติ สถาบัน Finn พร้อมเปิดโอกาสให้ได้สัมผัสประสบการณ์การเรียนต่อต่างประเทศ ป.ตรี ในมหาวิทยาลัยระดับโลก โดยมีเงื่อนไขการสมัครดังนี้
- สมัครได้ตั้งแต่อายุขั้นต่ำ 16 ปี 6 เดือน
- มีวุฒิการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่า เช่น GED หรือ A-Level
- สำหรับน้องๆที่อายุถึงเกณฑ์ แต่ไม่มีวุฒิ ม.6 สามารถใช้วุฒิ ม.4 หรือ ผลคะแนน IGCSE 4 วิชา ยื่นสมัครได้ โดยต้องผ่านการทดสอบวิชาพื้นฐานธุรกิจของสถาบัน Finn
- มีผลสอบ IELTS Overall 5.5 โดยแต่ละทักษะต้องไม่ต่ำกว่า 5.0
- กรณีไม่มีผล IELTS สามารถเข้ารับการทดสอบภาษาอังกฤษได้ที่สถาบัน Finn โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
หากสนใจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line: @finncollege หรือติดต่อเราได้ที่เบอร์โทร 083-057-7956 และ 02-619-1249
เปิดโอกาสจบปริญญามหาวิทยาลัยระดับโลกได้ง่ายขึ้น กับหลักสูตร Top-up Degree ที่สถาบัน Finn เส้นทางสู่ปริญญาตรี 3 ปีอังกฤษ
เรียนหลักสูตร Diploma 2 ปีในไทย
เลือกเรียนอีก 1 ปีสุดท้ายในหลักสูตร Top-Up Degree ณ มหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดังในอังกฤษ
💛 การันตีการเข้าเรียนต่อปริญญาตรีปีสุดท้ายกับมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 25 แห่งให้เลือก
❤️ รับผลการเรียนและวุฒิปริญญาตรีโดยตรงจากมหาวิทยาลัยที่เลือกเรียนในปีสุดท้าย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line : @finncollege หรือเบอร์โทร 083-057-7956 และ 02-619-1249
